นี่คือช่วงเวลาที่อังกฤษไม่เพียงกำหนดทิศทางของตัวเอง แต่ยังเป็นช่วงที่สร้างรากลึกให้กับโลกใบนี้… เมื่อเครื่องจักรเริ่มหมุน และโรงงานกลายเป็นหัวใจของเมือง จักรวรรดิอังกฤษ ก็ก้าวสู่ยุคเรืองอำนาจอย่างเต็มตัว ด้วยพลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม การค้า และอำนาจทางทหารในยุควิกตอเรีย จึงทำให้ “มงกุฎ” ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของราชวงศ์อีกต่อไป แต่หมายถึงแสนยานุภาพที่มีอำนาจเหนืออาณานิคมกว่าหนึ่งในสี่ของโลก จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน” (The Empire on which the Sun Never Sets) เพราะไม่ว่าจะเวลาใด ก็มีดินแดนของจักรวรรดิที่ยังคงสว่างไสวเสมอ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อแสนยานุภาพทางทหารไม่ได้มีอำนาจบนแผนที่เหมือนเคย สหราชอาณาจักรก็ได้ผันตัวจากผู้ปกครอง สู่การเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ที่อำนาจทอประกายในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า นั่นก็คือบทบาทของ “มหาอำนาจทางวัฒนธรรม” (Soft Power) ที่มีอิทธิพลแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของชีวิตผู้คนทั่วโลก เริ่มต้นจาก British Invasion ที่ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางดนตรี แต่เป็นการ “บุก” ทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของคนหนุ่มสาวทั่วโลก ทั้งในด้านแฟชั่น และ ทัศนคติ เช่น ทรงผมแบบ “ม็อบท็อป” ของ The Beatles หรือเสื้อผ้าสไตล์ โมเดิร์น (Mod) เป็นต้น นอกจากนี้อังกฤษยังเต็มไปด้วยศิลปินระดับตำนานอีกมากมาย เช่น The Rolling Stones, Queen หรือ Ed Sheeran, Coldplay และ Harry Styles ในปัจจุบัน
ในโลกของภาพยนตร์และสื่อ อังกฤษก็ถือเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจระดับตำนานที่ทรงพลัง กับแฟรนไชส์อย่าง James Bond ที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลของความมีระดับและสไตล์ผู้ดีแบบอังกฤษ ขณะที่ Harry Potter ก็ได้สร้างโลกเวทมนตร์ที่ครองใจคนนับพันล้านคนทั่วโลก ควบคู่ไปกับสื่อคุณภาพอย่าง BBC ที่ได้รับการยอมรับในฐานะมาตรฐานสื่อสารมวลชนโลกอีกด้วย